กระบวนการทำภาพขาวดำแบบลูกผสม เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ในงบที่ต่ำสุด
"Expose&Develop for Detail , Process for Contrast"
อธิบายเป็นไทยได้ว่า...
“กระบวนการฉายแสงกับล้างฟิล์ม เพื่อเก็บรายละเอียดของภาพ ในส่วนเงามืด กับ ส่วนสว่าง
และ กระบวนการปรับแต่งไฟล์รูป เพื่อปรับแต่งให้ภาพมีคอนทราสต์ที่ดี”
คำข้างบนนี้คือ บทสรุป กระบวนวิธีทำงานภาพขาวดำของผมในปัจจุบันนี้ครับ
ทั้งหมดมาจากประสบการณ์ การทดลอง ทำงานภาพขาวดำ มากว่า 30 ปี ตั้งแต่เริ่มถ่ายภาพฟิล์ม สมัยยังเป็น นศ.โฟโต้ ประมาณปี 1987 ได้เรียนเรื่อง Zone System ครั้งแรกก็ตอนนั้น ถ่ายฟิล์มมาเป็นสิบปี มาเริ่มถ่ายภาพขาวดำ จากดิจิตอลจริงจัง สักปี 2004 ที่มีกล้อง DSLR เป็นของตัวเอง ก็ลองถ่ายขาวดำ จากกล้องดิจิตอลเรื่อยมา ลองเอาเทคนิค Zone System ของฟิล์มปรับมาใช้ กับระบบดิจิตอล จนได้ผลที่น่าพอใจ ในปี 2009 และ ต่อมาก็ได้เปิดสอนเรื่องถ่าย Digital Zone System เรื่อยมาปีละ 3-4 รุ่น จนถึงปัจจุบัน(2018) กว่า 30 รุ่นได้
ในต้นปี 2017 ผมก็เริ่มขยับอีกครั้ง โดยได้กลับมาถ่ายภาพ ด้วยกล้องฟิล์ม แต่เป็นกล้องฟิล์มแบบ Large Format ที่ใช้ฟิล์มขนาดใหญ่ 4x5 นิ้ว เพื่อที่อยากจะเพิ่มคุณภาพงาน ให้ไปไกลเกินกว่าที่ดิจิตอลฟูลเฟรมทำได้ ณ ตอนนี้ เพราะฟิล์ม 4x5 มีขนาดพื้นที่รับภาพ ใหญ่กว่ากล้องดิจิตอลฟูลเฟรม หลายเท่ามาก
กล้องฟิล์ม Large Format 4x5 นิ้ว แบบ Field น้ำหนักเบา
ที่เปลี่ยนมาถ่ายภาพ ด้วยกล้องที่ใช้ฟิล์มขนาด 4x5 นิ้ว เพราะ ฟิล์ม 4x5 มีพื้นที่รับภาพ ใหญ่กว่าของกล้องดิจิตอลฟูลเฟรม ประมาณ 14 เท่า มีการไล่โทนที่สมูทกว่าดิจิตอล เพราะเป็นอนาล๊อคแท้ทรู ตัวเลนส์ของกล้อง LF ก็มีคุณภาพสูงกว่ามาก กล้อง LF มีความสามารถเรื่อง Camera Movement ปรับแก้ Perspective ได้สะดวก และที่สำคัญ กล้องฟิล์ม LF เทียบแล้วมีราคาถูกกว่าระบบกล้องดิจิตอลมาก แต่ก็มีขั้นตอนการทำงาน ที่จะยุ่งยาก ซับซ้อนกว่า เพราะถ่ายเสร็จ ต้องมาล้างฟิล์ม แล้วนำมาแสกนจากฟิล์ม ให้กลายเป็นไฟล์ดิจิตอลคุณภาพสูงอีกที
**ภ่าพด้านบน คือ กล้องแบบที่ผมใช้ Wista 45 SP ซื้อมือสองสภาพดีมาจาก ebay ในราคาประมาณสามหมื่นบาท**
- กล้องดิจิตอล ที่ใช้เซ็นเซอร์แบบฟูลเฟรม มีพื้นที่รับภาพ เท่ากับ 864 ตารางมิลลิเมตร
- กล้องฟิล์ม 4x5 มีพื้นที่รับภาพ เท่ากับ 12,192 ตารางมิลลิเมตร ซึ่งมากกว่าถึง 14 เท่า
*** กล้อง 4X5 แบบ Field ที่เป็นบอดี้ไม้ คุณภาพดีที่นิยมมากในตอนนี้ เช่นยี่ห้อ Chamonix ราคาของใหม่ใน ebay ประมาณ สามหมื่นบาท เทียบกับ บอดี้กล้องดิจิตอลที่กำลังฮิตในตอนนี้คือ Nikon D850 เฉพาะบอดี้ราคาก็แสนสองไปแล้ว ไม่นับกล้อง 4x5 มือสองสภาพดีใน ebay มีให้เลือกมากมาย ในราคาจับต้องได้
ราคากล้องใหม่ Chamonix รุ่น 045N-2
Step 1. ขั้นตอนการถ่ายภาพ
ภาพตัวอย่างการถ่ายภาพด้วยกล้อง LF 4x5
การถ่าย ผมจะวัดแบบ Zone System คือการวัดแสงเฉพาะจุด (spot) วัดตามจุดสำคัญต่าง ๆ เพื่อวางโซน โดยวัดเป็นค่า EV ที่มีตัวเลขไล่ไปเช่น 0 - 16 โดยห่างกันที่ละสต๊อป ทำให้ง่ายต่อการวางโซน เลือกค่าการ Expose เพื่อเก็บดีเทลในส่วน Shadow เป็นหลัก เช่นวางไว้โซน 3 ส่วน Hi-Light นั้น ถ้าลงที่โซน 7-8 พอดีก็จะดี ถ้ามากไปน้อยไป ก็จะปรับเปลี่ยนทีหลังได้ ด้วยเวลาในการล้างฟิล์ม ( Develop Time)
ตารางค่า EV
ลิงค์ : การวัดแสง แบบ Zone System, episode 2 : การถ่ายโซนด้วยฟิล์ม 4x5
**การถ่ายฟิล์ม ในขั้นตอนการถ่าย ต้องจดทุกอย่างให้ละเอียด เพราะกล้องจะไม่จดให้เหมือนดิจิตอล ถ้าไม่จด เราจะลืมอย่างรวดเร็ว แล้วหาข้อบกพร่องเพื่อจะแก้ไขในภาพหลังได้ลำบาก**
สมุดจดเพื่อวาง Zone และหาค่า Expose ก่อนถ่ายภาพ
Step 2. ขั้นตอนการล้างฟิล์ม (Film Processing)
อุปกรณ์ในการล้างฟิล์มเองในบ้าน ใช้พื้นที่เพียงเล็กน้อย
สมัยนี้การล้างฟิล์ม 4x5 ไม่ใช่เรื่องยุ่งยากอีกต่อไป ไม่จำเป็นต้องมีห้องมืด แค่มีถึงถุงมืดใบนึง (1,600) กับ Tank ล้างฟิล์ม (3,800) ก็เพียงพอแล้ว เวลาล้างก็ใช้พื้นที่ครัวในบ้าน ล้างได้สบาย อย่างในภาพประกอบด้านบน ผมซื้อถาดมา 2 ใบ ไว้วางกระบอกน้ำยา และอุปกรณ์ต่าง ๆ วางไว้ข้างซิงค์ล้างจาน พื้นที่แค่นี้ก็พอล้างฟิล์มได้แล้วครับ
ขั้นตอนการล้างฟิล์ม น้ำยาตัวที่ 1 น้ำยาสร้างภาพ (Developer) จะเป็นตัวทำให้เกิดภาพ Negative บนฟิล์ม เวลาในการล้าง จะเป็นตัวกำหนดส่วนสว่างในภาพ ฉะนั้น เมื่อเรา เพิ่ม หรือ ลด เวลา Develop ฟิล์ม จะสามารถควบคุมดีเทลในส่วนสว่างได้
การเพิ่ม หรือ ลดเวลาล้างฟิล์ม
Develop for Scan
ผมเองจะเลือกฟิล์ม และ น้ำยา Developer ที่ให้เนื้อเกรนที่ละเอียดที่สุด โทน Smooth ต่อเนื่อง คอนทราสต์ไม่จัด เพื่อเน้นเก็บดีเทลในภาพ (ฟิล์ม ILFORD Deltao 100 Pro กับน้ำยา ILFORD DD-X Developer)
เท่าที่ผมทดลองล้างมา 1 ปีที่ผ่านมา เวลาในการ Develop ที่เป็นค่ามาตรฐาน ฟิล์มที่ผมถ่ายมาจะหนาไป ทำให้ดีเทลในส่วนสว่างยังไม่ได้ตามที่ต้องการ ผมจึงปรับลดเวลา Develop ลงประมาณ 15 % ให้เหมาะกับการถ่ายของตัวเอง และเหมาะกับวิธีการแสกนฟิล์มของผมด้วย
ตัวอย่างฟิล์ม Negative ที่ล้างแล้ว ดูเนื้อฟิล์มได้ผ่านตู้ไฟสำหรับดูฟิล์ม ก่อนนำไปแสกน
Step 3. การแสกนฟิล์ม Film Scanning
เครื่องแสกนฟิล์มแบบ Flatbed ที่สามารถแสกนฟิล์ม 4x5 ได้
การแสกนฟิล์ม ของผม คอนเซ็ปคือ พยายามเก็บดีเทลในฟิล์ม ให้ได้มากที่สุด เก็บโทนภาพให้ละเอียดที่สุด ยังไม่สนใจเรื่องคอนทราสต์ภาพ
เครื่องแสกนฟิล์ม ที่สามารถแสกนฟิล์ม 4x5 ในราคาถูกสุด ที่ได้คุณภาพดีสุด ปัจจุบันมีอยู่รุ่นเดียวคือ Epson V800 ราคาในท้องตลาดประมาณ 29,000 บาท ถูกกว่านี้ไม่มี แพงกว่านี้ก็เป็นหลักแสนไปเลยครับ แปลว่าไม่ต้องเลือก สบายไป จัดได้เลย
หน้าตาโปรแกรมแสกนของเครื่องเอปสัน
ตัวอย่างการเซ็ทติ้งโปรแกรมแสกนที่ผมใช้
1. เลือกชนิดฟิล์ม : B&W Negative Film
2. Image Type : 48 bit color คือผมจะแสกนเป็นสี RGB 16 ต่อสีหรือ 48 บิต เพื่อเก็บข้อมูลให้ได้มากที่สุด แล้วค่อยมาปรับเป็นขาวดำในภาพหลังในโฟโต้ชอป
3.Taget Size ผมตั้งเป็นขนาด output ที่จะนำไปใช้งาน คือ 16x20 นิ้ว ที่ 300 ppi
การตั้ง Target Size แบบนี้ ผมจะได้ไฟล์ขนาดประมาณ 6000x4800 pixels หรือเท่ากับ 28.8 ล้านพิกเซล เทียบกับกล้องดิจิตอล
หน้าต่างโปรแกรม Epson Scan
เมื่อเซ็ทค่าเสร็จแล้ว ก็จะมาปรับตั้งค่า Level ให้เก็บดีเทลในส่วนสว่าง และ ส่วนมืดให้ได้มากที่สุด โดยให้ความสำคัญของ คอนทราสต์ภาพรองลงมา โดยเช็คดูจากค่า Densitometer ว่าในจุดนั้น ๆ มีค่า Level เป็นเท่าไหร่ อยู่โซนไหน เมื่อปรับจนได้ดีที่สุด แล้วจึงเริ่มทำงานแสกน ซึ่งจะใช้เวลาในการแสกนประมาณ 7-10 นาทีต่อภาพ
ภาพที่ได้จากการแสกน
รูปตัวอย่างด้านบน คือไฟล์ภาพที่ได้จากการแสกน สังเกตุจะมีติดโทนสีอยู่เพราะแสกนมาเป็น RGB คอนทราสต์ภาพจะดูต่ำๆ แต่จะเก็บดีเทลในส่วนมืด และ ส่วนสว่างมาได้ครบ ไฟล์ที่ได้ จะคล้ายๆ raw file ของดิจิตอล คือมีดีเทลดี แต่จะคอนทราสต์ต่ำ
Step 4. การปรับแต่งไฟล์ใน Photoshop
โปรแกรม Photoshop CC
เมื่อแสกนภาพเป็นไฟล์ดิจิตอลเรียบร้อยแล้ว ก็จะนำมาปรับแต่งไฟล์ให้สวยงามในโปรแกรม Photoshop โดยไล่ไปจาก
1. ครอปขอบภาพขาวๆที่ติดโฮลเดอร์จากการแสนออก ลบฝุ่น และริ้วรอยต่างๆ ในภาพในเรียบร้อย (ฝุ่น จะมาจากตอนใส่ฟิล์มโฮลเดอร์ กับตอนแสกนฟิล์ม)
2. ปรับแต่งโทนภาพในมีคอนทรสต์สวยงาม โดยพยายามไม่ให้เสียดีเทลของภาพไป
โดยเริ่มจาก ก๊อปปี้ Layer ภาพขึ้นมาใหม่ ปรับเปลี่ยน Layer ให้เป็น Smart Object แล้วใช้ ฟิลเตอร์ Camera Raw ในการปรับภาพให้เป็นขาวดำ ปรับโทนโดยรวม และ ตามส่วนต่าง ๆ จนได้น้ำหนักที่พอใจ แล้วจึงมาปรับต่อใน Photoshop ด้วย Adjustment layer แบบต่างๆ เช่น Level, Curve, brightness-contrast ฯ โดยยังทำงานอยู่ในโหมด 16 บิต ตลอด
เมื่อได้ไฟล์ภาพที่พอใจ ก็จะ save เก็บเป็นไฟล์ Tiff 16 bit แบบยังมี Layer ไว้ เพื่อสะดวกในการมาปรับแต่งต่อในภาพหลังได้อีก
ไฟล์ภาพที่ปรับแต่งเสร็จแล้วใน PS พร้อมพิมพ์
หมายเหตุ : การจะปรับแต่งภาพให้ได้ไฟลืคุณภาพดี อุปกรณืที่สำคัญมากอันดับต้นๆ คือจอ Monitor แสดงผล ควรเลือกใช้จอคุณภาพสูงแบบ 10 บิต ที่สามารถไล่โทนขาวดำได้ถึง 1024 ระดับ เทียบกับจอทั่วไปที่ทำได้เพียง 256 ระดับ
ลิงค์ : แนะนำการเลือกซื้อจอ Monitor สำหรับงานภาพถ่าย
Step 5. การพิมพ์ภาพ แบบคุณภาพสูง High Quality Printing
เมื่อเราได้ไฟล์ภาพคุณภาพสูงที่ปรับแต่งเรียบร้อยแล้ว ต่อมาคือขึ้นตอนสุดท้าย คือพิมพ์ไฟล์ภาพนั้น ให้ออกมาเป็นภาพปริ๊นท์จริงที่คุณภาพสูง
ขั้นตอนนี้ถือว่าเป็นขั้นตอนที่สำคัญมากขั้นตอนนึง เพราะเราจะได้ภาพที่คุณภาพดี ไม่ดี อยู่ที่ขั้นตอนนี้เลยหละครับ ปัจจัยสำคัญมีอยู่ 2 จุดคือ
1. Printer เครื่องพิมพ์
2. Media กระดาษที่ใช้พิมพ์
เครื่องพิมพ์ภาพขาวดำดิจิตอลที่ดีที่สุดในปัจจุบัน คือเครื่องพิมพ์ Inkjet แบบหมึก Pigment ที่มีหมึกขาวดำพิเศษ 3-4 โทน(ตลับ) โดยเครื่องขนาด A2 จะมีราคาอยู่ประมาณ 50,000 บาทได้
ส่วนกระดาษนั้น ก็จะมีหลากหลายผิว หลากหลายเกรดมาก กระดาษดีๆที่ใช้พิมพ์รูปถ่าย จะเริ่มจากเกรด Photo paper ไปจนถึง เกรด Fine Art paper
Canon imagePROGRAF PRO-500 Printer
ผมเองปัจจุบัน เลือกใช้เครื่องพิมพ์ Canon imagePROGRAF PRO-500 ซึ่งเป็นเครื่องพิมพ์แบบตั้งโต๊ะขนาด A2 ( 17x24 นิ้ว) ระบบหมึก 12 ตลับ และรองรับไฟล์แบบ 16 บิตได้โดยตรง
โดยทางแคนนอน จะมีโปรแกรม Print Studio Pro แถมมาให้ ซึ่งจะเป็น Plug In เข้าไปใน Photoshop สามารถทำรูปรูปเสร็จแล้วสั่งพิมพ์ต่อได้เลย โดยรองรับไฟล์แบบ 16 บิตได้ มีระบบ Softproof ทำให้เห็นภาพใกล้เคียงจริงก่อนสั่งพิมพ์ได้
โปรแกรม Print Studio Pro
การเซ็ทติ้งในโปรแกรม Print Studio Pro
- ช่อง Printer ถ้าเป็น Windows ให้เลือกเป็น Canon PRO-500 XPS แทน PRO-500 เฉยๆ เพราะ XPS จะเป็นตัวไดรเวอร์ที่รองรับ 16 บิต ถ้าเป็น MAC ก็ไม่ต้องเลือกครับ เพราะเป็น 16 บิตอยู่แล้ว
- Print Quality ถ้าต้องการคุณภาพสูงสุด ก็ให้เลือก Highest
- Color Mode ให้เลือกเปล๊่ยนมาเป็น Black and White Photo ซึ่งจะทำให้เครื่องสั่งพิม์เฉพาะหมึกขาวดำ ภาพที่ได้จะไม่ติดโทนสี
- Media Type เลือกตามชนิดกระดาษที่เราใช้พิมพ์ ถ้าเป็นกระดาษประเภท Fine Art จะใช้ช่องโหลดแบบ Manual Feed และจะใช้เวลาในการพิมพ์นานขึ้นกว่ากระดาษทั่วไป แต่จะให้คุณภาพที่สูงขึ้น และกระดาษแบบ Fine Art จะเก็บรักษาได้นานกว่ามากครับ
ภาพ Final Print
สรุป
กระบวนการทำภาพขาวดำของผมคือ :
Analog > Digital > Analog
กล่าวคือ ถ่ายรูปเป็นฟิล์ม (analog) แสกนให้เป็นไฟล์ภาพ (Digital) เพื่อให้สะดวกและปรับแต่งได้ละเอียด แล้วพิมพ์ออกมาเป็นภาพ Print (analog) ในขั้นตอนสุดท้าย
มีขั้นตอนทั้งหมด 5 Step
Step 1. ขั้นตอนการถ่ายภาพ ( Expose)
Step 2. ขั้นตอนการล้างฟิล์ม ( Film Processing )
Step 3. การแสกนฟิล์ม Film Scanning
Step 4. การปรับแต่งไฟล์ใน Photoshop
Step 5. การพิมพ์ภาพ แบบคุณภาพสูง High Quality Printing
สุดท้าย หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับผู้สนใจทำงานภาพขาวดำแบบคุณภาพสูง แบบสูงสุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และในราคาที่จ่ายน้อยสุดเท่าที่จะเป็นไปได้
ปล. ผมเขียนเรื่องนี้เป็นครั้งแรก และที่แรก จากประสบการณ์ส่วนตัวโดยตรง ถ้าไปเห็นจากที่อื่น หลังจากนี้ แปลว่าของก๊อปแน่นอนนะครับ
สมชายการช่าง
6/02/2018
เขียนที่บ้านรามอินทรา